วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเลือกตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสม (Installation)

แฟนคอยล์ ยูนิต
-
ถ้าเป็นห้องนอนควรวางให้ลมจากเครื่องปรับอากาศเป่าด้านข้างลำตัวขณะนอนเสมอ เพราะถ้าให้ลมพัดจากศีรษะไปเท้า หรือเท้าไปศีรษะ จะส่งผลให้ไม่สบายได้ง่าย
- ไม่ควรวางเครื่องไว้เหนือเตียง เนื่องจากในการดูแลรักษา จะต้องมีการล้าง และปัดฝุ่นที่ฟิลเตอร์อยู่บ่อยๆ จะทำให้เตียงสกปรกง่าย ดังนั้นควรติดตั้งในบริเวณที่จะสามารถทำการซ่อม บริการได้สะดวก
- อย่าตั้งอุณหภูมิให้เย็นเกินไป เพราะเมื่อนอนหลับแล้ว เราจะไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้อีก ทำให้ไม่สบายได้ง่ายเช่นกัน หรือหากทีรีโมทคอนโทรลก็ควรจัดให้อยู่ใกล้เตียง
- หากมีพื้นที่นั่งเล่นอยู่ในห้องนอน ก็ควรจัดให้ตำแหน่งเครื่องปรับอากาศส่งความเย็นไปหามากกว่าส่วนที่ใช้นอน เนื่องจากขณะนอนหลับเราต้องการอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ
- ควรวางแฟนคอยล์ยูนิตให้ใกล้ช่องเปิดหรือระเบียงที่มีคอนเดนซิ่งยูนิต วางอยู่ เพื่อความสะดวกในการติดตั้งและดูแลรักษา
คอนเดนซิ่ง ยูนิต
- บริเวณที่สามารถระบายความร้อนได้สะดวก
- ควรเว้นระยะห่างจากกำแพงมาถึงด้านหลังเครื่องไม่น้อยกว่า 10 ซม. และเว้นระยะด้านหน้าเครื่องไม่น้อยกว่า 70 ซม.
- ไม่โดนฝนสาดได้ง่าย
- บริเวณไม่ถูกแสงแดดส่องโดยตรงตลอดเวลา
- บริเวณที่สามารถปล่อยให้เสียงและลมร้อนระบายออกมาได้โดยไม่รบกวนบริเวณข้างเคียง
- ตำแหน่งติดตั้งควรมีโครงสร้างแข็งแรงหรือใกล้คานหรือเสาเพื่อรับน้ำหนักตัวเครื่องได้ดี
- ตัวเครื่องควรยกระดับให้พ้นจากพื้นดินอย่างน้อย 10 เซนติเมตร หรือพ้นจากระดับที่น้ำท่วมถึง และในบริเวณที่สามารถซ่อมบำรุงได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการติดตั้งในบริเวณที่มีโอกาสติดไฟ เนื่องจากน้ำยาแอร์เป็นแก๊สชนิดหนึ่งที่สามารถติดไฟได้ง่ายถ้ารั่ว
- หลีกเลี่ยงการติดตั้งในบริเวณที่มีกรดซัลไฟด์ เช่นบริเวณท่อระบายน้ำทิ้ง เพราะสารทำความเย็นจะเกิดปฏิกิริยากับกรดซัลไฟด์ ทำให้เกิดแก๊สมีพิษต่อร่างกายเมื่อสูดดม
- ตำแหน่งที่ไม่กีดขวางทางเดิน

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างถูกวิธี (Instructions)

การใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างถูกวิธี (Instructions) - ควรปิดประตูหน้าต่างและผ้าม่านให้มิดชิด ก่อนเปิดเครื่องและระหว่างใช้งาน ไม่ควรให้ความร้อนเข้ามาเพราะจะทำให้เครื่องทำงานหนักและกินไฟ

-
ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่เย็นจัดจนเกินไป โดยทั่วไปเวลานอนควรตั้งที่ 26 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเวลาทำงานก็ประมาณ 24 องศาเซลเซียส

-
เริ่มต้นเปิดเครื่องอาจปรับระดับความเร็วลมที่ความเร็วสูง (High) ก่อนเพราะจะทำให้เย็นเร็ว พอเย็นได้ที่แล้วควรปรับลดไปที่ความเร็วต่ำ (Low)

-
อย่าให้มีสิ่งกีดขวางทางลมทั้งที่แฟนคอยล์ยูนิต และคอนเดนซิ่งยูนิต เพื่อการระบายลมที่สะดวก

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ใช้เครื่องปรับอากาศอย่างไรให้ประหยัด (Energy Saving)

นอกจากการใช้งานเครื่องปรับ อากาศที่ถูกวิธีแล้ว ทาง ?air-thai.com? ยังมีเคล็ดลับในการใช้เครื่องปรับอากาศให้ประหยัดและคุ้มค่าอีกหลายวิธีดัง นี้

-
ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอยู่เป็นประจำเพื่อให้การระบายความร้อนทำได้สะดวก

-
เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศใหม่ทดแทนเครื่องเก่าที่มีประสิทธิภาพต่ำหรือใช้งานมานาน

-
ลดความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ามายังบริเวณที่ปรับอากาศ โดยผ่านทางผนัง หน้าต่าง หลังคา และพื้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.
การลดความร้อนผ่านผนัง

1.1
ผนังกระจกที่มีพื้นที่กระจกใส เป็นพื้นที่ที่ความร้อนสามารถผ่านเข้ามาในห้องได้มากที่สุด ควรป้องกันความร้อนดังนี้

-
ใช้เครื่องบังแดดภายในอาคาร

-
ใช้กันสาดในแนวตั้งและแนวนอน หรือการหลบแนวหน้าต่างเข้ามาภายใน

-
สำหรับกระจกที่หันไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ควรติดกันสาดในแนวนอน

-
ส่วนกระจกที่หันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ควรใช้กันสาดในแนวตั้ง

-
ปลูกต้นไม้บังแดดสำหรับกระจกทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

-
ใช้ผ้าม่านหรือมู่ลี่สีอ่อนบังแดดภายในด้านหลังกระจก โดยเลือกใช้มู่ลี่ชนิดใบอยู่แนวนอนสำหรับสำหรับกระจกทางทิศเหนือหรือทิศใต้ ส่วนกระจกทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกควรใช้กระจกกรองแสงหรือสะท้อนแสง

-
พยายามใช้กระจกเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของอาคาร

1.2
ผนังอาคารที่เป็นปูน

-
ทาสีด้านนอกด้วยสีขาวหรือสีอ่อน หรือใช้วัสดุผิวมัน เช่น กระเบื้องเคลือบ เพื่อช่วยสะท้อนแสง

-
ควรปลูกต้นไม้หรือสร้างที่บังแดด เพื่อให้ร่มเงาแก่ผนัง

-
ผนังห้องห้องโดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก ซึ่งไม่มีเงากำบัง เป็นส่วนที่มีความร้อนมาก ควรบุฉนวนกันความร้อนหรือใช้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เช่น ชั้นหนังสือหรือตู้เสื้อผ้า ตั้งกั้นไม่ให้ความร้อนแผ่เข้ามาในห้องเร็วนัก

1.3
ผนังอาคารที่เป็นไม้ หากมีช่องห่างของไม้มากควรตีผนังด้านในด้วยไม้อัด เพื่อกันการผ่านของความร้อนจากภายนอกเข้ามาในอาคาร

2.
การลดความร้อนผ่านหน้าต่าง

2.1
หน้าต่างควรมีเฉพาะทิศเหนือหรือทิศใต้ของอาคาร เพื่อลดการรับแสงแดดโดยตรง

2.2
ต้องพยายามไม่ให้มีรอยรั่วตามขอบประตู หน้าต่าง หรือบริเวณฝ้าเพดาน

2.3
หน้าต่างส่วนที่เป็นกระจก ให้ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผนังกระจก

3.
การลดความร้อนผ่านหลังคาและฝ้าเพดาน

3.1
หลังคาที่เป็นสังกะสีหรือกระเบื้อง ควรตีฝ้าหรือติดตั้งวัสดุสะท้อนความร้อน หรือบุฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดความร้อนที่จะแผ่เข้ามาในอาคาร

3.2
ถ้ามีช่องว่างระหว่างหลังคากับฝ้ามาก ควรเจาะช่องลมเพื่อระบายอากาศ จะทำให้ประหยัดการปรับอากาศได้

4.
การลดความร้อนผ่านพื้น หากเป็นพื้นไม้ควรอุดช่องระหว่างไม้ให้สนิท แอร์จะได้ไม่รั่วออกไป

5.
การปรับปรุงห้องในส่วนอื่นๆ อาทิ จัดพื้นที่ในห้องซึ่งไม่ได้ใช้งานประจำ เช่น ตู้เสื้อผ้า ห้องแต่งตัว ห้องน้ำ อยู่ทางทิศตะวันตก จะช่วยกันความร้อนไม่ให้เข้ามาถึงห้องที่ใช้สอยประจำ คือส่วนนอน ทำให้ประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการปรับอุณหภูมิลงได้

6.
การลดความร้อนจากดวงไฟและอุปกรณ์ภายใน

6.1
พยายามใช้แสงธรรมชาติช่วยส่องสว่างภายในอาคาร และควรจะปิดไฟที่ไม่จำเป็น

6.2
ภายในอาคารควรใช้สีอ่อน เพื่อช่วยในการสะท้อนแสง ทำให้ใช้ดวงไฟน้อยลง

6.3
เลือกใช้หลอดไฟที่มีประสิทธิภาพการส่องสว่างสูง เช่นหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์แทนหลอดไฟแบบมีไส้

6.4
อุปกรณ์ที่ให้ความร้อนมากควรใช้นอกห้อง เช่น เตารีด เครื่องปิ้งขนมปัง หรือกาต้มน้ำ

6.5
ติดตั้งฝาครอบระบายอากาศสำหรับเครื่องหุงต้มทุกชนิด ถ้าจำเป็นต้องใช้ในห้องปรับอากาศ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หอหล่อเย็น (Cooling Tower) คืออะไร

หอหล่อเย็นคือหอคอยขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนออกจากน้ำ ใช้กับเครื่องปรับอากาศที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ การทำงานก็คือ นำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้อีก โดยให้น้ำผ่านเครื่องควบแน่นลงในหอหล่อเย็น แล้วเติมน้ำประปาทดแทนน้ำส่วนที่ระเหยไป ภายในหอหล่อเย็นจะมีอากาศจากบรรยากาศไหลผ่านน้ำร้อนที่ฉีดลงมาในถังเพื่อทำ ให้เย็น

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอร์เบอร์ 5 ต่างกับแอร์ธรรมดายังไง

แอร์เบอร์ 5 กับแอร์ธรรมดาต่างกันก็ตรงที่การออกแบบ แอร์เบอร์ 5 ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพพลังงาน (EER) สูงกว่าแอร์ธรรมดา ซึ่งเป็นผลมาจาการออกแบบระบบใหม่โดยการปรับแต่งองค์ประกอบหลักเช่น ใช้คอมเพรสเซอร์ที่ประหยัดไฟ หรือเพิ่มขนาดของแผงคอยล์เพื่อช่วยระบายความร้อน เป็นต้น ดังนั้นแอร์เบอร์ 5 จึงมีราคาสูงกว่าแอร์ธรรมดามาก

ผู้ซื้อควรพิจารณาถึงความจำเป็นว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้แอร์เบอร์ 5 โดยเปรียบเทียบปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น
1)
ส่วนต่างราคาระหว่างแอร์เบอร์ 5 กับแอร์ธรรมดา
2)
จำนวนชั่วโมงที่จะใช้งานในแต่ละวัน
3)
จำนวนปีที่คาดว่าจะใช้แอร์เครื่องนี้ การเปรียบเทียบปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ซื้อ เช่นถ้าคิดว่าจะใช้แอร์เครื่องนี้เป็นเวลา 5 ปี ก็ต้องมาคิดว่าในระยะเวลา 5 ปีเราจะประหยัดค่าไฟฟ้าได้กี่บาท แล้วเปรียบเทียบกับส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นว่าคุ้มไหมที่จะจ่ายแพงขึ้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่าซื้อของอย่างชาญฉลาด