วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข้อพิจารณาก่อนการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ (Criteria)

  • การคำนวณขนาดทำความเย็น (Cooling capacity หรือ BTU) ควรเลือก ขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับห้องที่จะติดตั้ง เพื่อให้ได้ความเย็นที่เหมาะสม เพราะการซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่เกินไปจะส่งผลให้ห้องมีความเย็น มากเกินไปทำให้เครื่องต้องเดิน-หยุดบ่อย นอกจากนี้ราคาเครื่องและ ค่าติดตั้งก็จะสูงตามไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าซื้อเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กเกินไป การทำความเย็นก็ไม่เพียงพอ และเครื่องก็ต้องทำงานตลอดเวลา ทำให้เครื่องมีอายุการใช้งานสั้นลง
  • ลักษณะการใช้งาน เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก โดยดูประเภทของห้องว่าเป็นห้องนอน ห้องรับแขก ห้องทำงาน ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม โรงพยาบาล ฯลฯ

  • รูปแบบ (ตั้ง-แขวน, ติดผนัง, ตู้ตั้ง, ฝังเพดาน) เลือกรูปแบบของเครื่องปรับอากาศ โดยคำนึงถึงพื้นที่ที่จะทำการติดตั้ง และความสะดวกในการดูแลรักษา (Maintenance) โดยสามารถศึกษาข้อดี-ข้อเสียที่

    ประเภทของเครื่องปรับอากาศ

วัตถุดิบที่ใช้ (Material) เนื่องจากคุณภาพของวัตถุดิบ มีผลต่อโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคงทนของเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งในปัจจุบันมีเครื่องปรับอากาศให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ จึงไม่เป็นการง่ายที่จะตัดสินใจซื้อได้ทันที ดังนั้นเราจึงควรศึกษาส่วนประกอบที่สำคัญ เพื่อช่วยในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ

    • คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ที่นิยมใช้กันอยู่ 3 ประเภทคือ

      1. คอมเพรสเซอร์โรตารี่ (Rotary compressor) ทำงานโดยการหมุนของใบ พัดความเร็วสูง โดยมีคุณสมบัติคือ การสั่นสะเทือนน้อย เดินเงียบ และมีประสิทธิภาพพลังงานสูง (EER) เหมาะกับ เครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก
      1. คอมเพรสเซอร์ลูกสูบ (Reciprocating compressor) ทำงานโดยการใช้ กระบอกสูบในการอัดน้ำยา โดยมีคุณสมบัติคือ ให้กำลังสูง แต่มีการสั่นสะเทือนสูง และมีเสียงดัง เหมาะกับเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่
      1. คอมเพรสเซอร์แบบสโกรว (Scroll compressor) พัฒนามาจาก คอมเพรสเซอร์โรตารี่ ทำงานโดยใบพัดรูปก้นหอย โดยมีคุณสมบัติคือ มีการสั่นสะเทือนน้อย เดินเงียบ และมีประสิทธิภาพพลังงานสูงกว่าคอมเพรสเซอร์แบบอื่นๆในระดับเดียวกัน
        • คอยล์ (Coil) ประกอบด้วยท่อทองแดง และครีบอะลูมิเนียม (Fin) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการระบายและดูดซับความร้อน จากอากาศ ดังนั้น ผู้ซื้อจึงควรพิจารณาถึงวัตถุดิบที่ใช้ทำคอยล์ เช่นความหนาของครีบ หรือการเคลือบสารป้องกันการกัดกร่อน เนื่องจากคอยล์ที่มีสภาพดีย่อมระบายความร้อนได้ดี

          ดังนั้นคอยล์ที่ทนทานจึงสามารถยืดอายุการใช้งานเครื่องปรับอากาศ แถมยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย

        • มอเตอร์พัดลม (Fan motor) เป็นส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการช่วยระบาย และดูดซับความร้อน มอเตอร์ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศมีอยู่หลายเกรด ดังนั้นผู้ซื้อจึงควรสอบถามข้อมูลของมอเตอร์เพื่อประกอบการตัดสินใจ มอเตอร์ที่ดีควรใช้ขดลวดที่ทนความร้อนได้สูง จึงจะทำให้มอเตอร์ทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยที่รอบ (rpm) ไม่ตกซึ่งมีผลต่อการระบายความร้อน และไม่เสียง่ายเนื่องจากความร้อนสูง

 

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประเภทของเครื่องปรับอากาศ (

ประเภทของเครื่องปรับอากาศ (Type) ก่อนที่จะเริ่มทำความรู้จักประเภทของเครื่องปรับอากาศ ท่านควรทราบก่อนว่าเครื่องปรับอากาศ 1 ชุดนั้นประกอบด้วย อะไรบ้าง ซึ่งก็คือ

1) แฟนคอยล์ ยูนิต (Fan coil unit) หรือที่เรียกกันว่า ?คอยล์เย็น? หรือ ?Indoor unit? ทำหน้าที่ดูดซับความร้อนภายในห้อง ซึ่งภายในเครื่องประกอบด้วย แผงคอยล์เย็น และชุดมอเตอร์พัดลม


2) คอนเดนซิ่ง ยูนิต (Condensing unit) หรือที่เรียกกันว่า ?คอยล์ร้อน? หรือ ?Outdoor unit? ทำหน้าที่ระบายความร้อน ซึ่งภายในเครื่องประกอบด้วย คอมเพรสเซอร์ แผงคอยล์ร้อน และชุดมอเตอร์พัดลม

เครื่อง ปรับอากาศทั่วไปที่ใช้ตามบ้านพักอาศัย และอาคารสำนักงานขนาดเล็ก ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดแบ่งได้เป็น 6 ประเภทใหญ่ๆดังนี้

1) แบบติดผนัง (Wall type)

2) แบบตั้ง/แขวน (Ceiling/floor type)

3) แบบตู้ตั้ง (Package type)

4) แบบฝังเพดาน (Built-in type)

5) แบบหน้าต่าง (Window type)

6) แบบเคลื่อนที่ (Movable type)


รูปแบบ การใช้งาน ข้อดี และข้อเสีย ของเครื่องปรับอากาศแต่ละประเภทดังนี้

1) แบบติดผนัง (Wall type) เป็นรุ่นที่มียอดขายสูง เพราะนิยมใช้ตามบ้านเรือน อพาร์ทเม้นท์ คอนโด ฯลฯ นิยมใช้กับห้องนอน ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น
ข้อดี
- มีเสียงที่เงียบกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ เพราะมีขนาดเล็ก
- ประหยัดไฟกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ เพราะไม่ต้องใช้กำลังมากนัก
- มีรูปแบบให้เลือกมากมาย เพราะเป็นที่นิยม
- ติดตั้ง ล้างและดูแลรักษาได้ง่าย
- ราคาถูก (แล้วแต่รุ่น และระบบ)
ข้อเสีย
- เนื่องจากตัวคอยล์เย็น(ภายใน)มีขนาดเล็กทำให้กระจายลมได้ไม่ไกลมากนัก
- คอยล์เย็นมีขนาดเล็ก ทำให้อุดตันสกปรกง่ายไม่เหมาะสำหรับ ร้านอาหาร หรือที่มีฝุ่นควันมาก
- ในระยะยาวอาจมีการตัดที่ถาดน้ำทิ้งด้านหลัง (ต้องทำการถอดแอร์ลงมาล้าง)


2) แบบตั้ง/แขวน (Ceiling/floor type) เหมาะสำหรับงานหนัก หรือห้องที่มีคนอยู่เยอะ เช่น สำนักงาน ร้านอาหาร ห้องประชุม เป็นต้น

ข้อดี
- สามารถเลือกติดตั้งได้หลายลักษณะทั้งตั้งแขวนใต้ฝ้าเพดานและตั้งพื้นโดยแปะเข้ากับฝาผนัง
- ปริมาณลมมากหมุนเวียนอากาศได้ดีและแรงลมสามารถไปได้ไกลกว่าแบบติดผนัง
- แผงคอยล์เย็นจะอุดตันช้ากว่าแอร์แบบติดผนังเพราะมีขนาดใหญ่
ข้อเสีย
- ไม่มีรูปแบบให้เลือกมากนัก เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีลักษณะคล้ายกัน
- เสียงลมของแอร์แบบตั้งแขวนจะมีเสียงดังกว่าแอร์ติดผนัง
- แอร์ตั้งแขวนจะถอดล้างทำความสะอาดยากกว่าแอร์ติดผนัง
- ส่วนใหญ่จะมีราคาแพงกว่าแบบติดผนัง

3) แบบตู้ตั้ง (Package type)  แอร์ชนิดนี้สามารถนำคอยล์เย็นมาตั้งเลยโดยไม่ต้องยึดกับผนังหรือเพดานเหมือน แอร์ชนิดอื่นๆ เหมาะสำหรับงานหนักๆ สถานที่ที่มีฝุ่นควันเยอะ หรือมีคนอยู่จำนวนมาก เช่น ร้านอาหาร ผับ ห้องประชุม เป็นต้น

แอร์แบบตู้ตั้งพื้น (Package type) ข้อดี
-
แผงคอยล์อุดตันได้ยากกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ ทำให้ใช้งานในที่ๆมีฝุ่นหรือควันบุหรี่เยอะๆได้
-
ทำความเย็นภายในห้องได้รวดเร็วกว่าแอร์แบบอื่นๆ
-
ติดตั้งได้ง่ายๆ เพียงแค่นำคอยล์เย็นมาตั้ง(ไม่จำเป็นต้องยึดน๊อตเหมือนแบบอื่น) และเดินท่อเท่านั้น
ข้อเสีย
-
เนื่องจากตัวทำความเย็น (คอยล์เย็น) มีขนาดใหญ่และต้องตั้งพื้นทำให้เสียพื้นที่ไปพอสมควร
-
เนื่องจากมีพัดลมขนาดใหญ่ จึงทำให้เสียงขณะพ่นความเย็นออกมาเสียงดังพอสมควร
-
บำรุงรักษาได้ง่าย แต่ถ้าทำการล้างแอร์แบบฉีดล้างคอยล์ จะทำได้ค่อนข้างยาก
-
แอร์แบบนี้จะเปลืองไฟกว่าแอร์ติดผนัง ตั้งแขวน และไม่มีเบอร์ 5

4) แบบฝังเพดาน (Built-in type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่เน้นความสวยงามโดยการซ่อน หรือฝังอยู่ใต้ฝ้าหรือเพดานห้อง เหมาะกับห้องที่ต้องการเน้นความสวยงาม โดยที่ต้องการให้เห็นเครื่องปรับอากาศน้อยที่สุด ได้แก่ ออฟฟิทตามอาคาร ตามตึกใหญ่ๆ สตูดิโอ

แอร์แบบสี่ทิศทาง (Cassette type) แอร์ชนิดนี้จะสามารถเดินท่อน้ำยาและท่อน้ำทิ้งบนฝ้าเพดานได้เลย เหมาะกับงานหรือห้องที่ไม่สามารถติดตั้งแอร์แบบติดผนัง ตั้งแขวน เนื่องจากปัญหาไม่สามรถเดินท่อน้ำทิ้ง เดินท่อน้ำยาได้ เช่น ห้องที่ต้องการความสวยงาม เป็นต้น
ข้อดี
- สามารถติดตั้งแอร์และเดินท่อภายในฝ้า ทำให้มีความสวยงาม
- ลดปัญหาในการติดตั้งท่อน้ำยาลัดเลาะตามมุมของห้อง
- ช่วยให้วิศวกรออกแบบ อาคารได้ง่าย
ข้อเสีย
- ราคาแอร์และค่าติดตั้งยังค่อนข้างสูงอยู่เมื่อเทียบกับแอร์ติดผนังและตั้งแขวน
- ในอนาคตอาจมีปัญหาการอุดตันของปั๊มน้ำ ทำให้เกิดน้ำรั่วบริเวณตัวแอร์ได้
- ล้างทำความสะอาดได้ยาก
- เป็นแอร์ที่สิ้นเปลืองพลังงาน กว่าแอร์ติดผนัง แอร์ตั้งแขวน ไม่มีเบอร์5

5) แบบหน้าต่าง (Window type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่รวมทั้ง คอนเดนซิ่ง ยูนิต และ แฟนคอยล์ ยูนิต อยู่ในเครื่องเดียว ซึ่งสามารถติดตั้งโดยการฝังที่กำแพงห้องได้เลย โดยที่ไม่ต้องเดินท่อน้ำยา ดังนั้นการติดตั้งจึงต้องติดตั้งบริเวณช่องหน้าต่างหรือเจาะช่องที่ผนังแข็ง แรง


ข้อดี
-
สามารถทำความเย็นได้ดีมาก
-
ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินท่อน้ำยา
-
ไม่มีปัญหาในการหาที่วางคอยล์ร้อนเหมือนแอร์แบบอื่นๆ
ข้อเสีย
-
ตัวแอร์เวลาทำงานมีเสียงดังมากโดยเฉพาะเมื่อติดตั้งตรงจุดที่ไม่ค่อยแข็งแรง
-
บำรุงรักษายาก เพราะเวลาแอร์เสียต้องยกลงมาทั้งหมด ซื่งแอร์แบบนี้น้ำหนักจะมากเพราะอะไหล่ทุกชิ้นส่วนอยู่รวมกันหมด
-
ถ้าเป็นแอร์ที่บีทียูมากก็ยิ่งทำให้น้ำหนักทากขึ้น จนหาที่ติดตั้งลำบากเพราะผนังส่วนใหญ่รับน้ำหนักไม่ไหว



6) แบบเคลื่อนที่ (Movable type) เหมาะกับงานหรือห้องที่ไม่สามารถติดตั้งแอร์ชนิดอื่นๆได้ เช่น ห้องเช่า งานแสดงสินค้า สวนผักสวนผลไม้ เป็นต้น

ข้อดี
- สามารถใช้ได้เลยโดยไม่ต้องติดตั้ง (แค่เสียบปลั๊กและต่อท่อลมร้อนเท่านั้น)
- มีขนาดเล็กกะทัดรัดและมีล้อเลื่อน ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปมาได้ง่าย
- สามารถประยุกต์ใช้ทำความร้อนในหน้าหนาวได้
ข้อเสีย
- ทำความเย็นได้น้อยกว่าแอร์แบบอื่น (กรณีบีทียูเท่ากัน)
- แรงลมจะไปได้ไม่ไกลนัก(ประมาณ2เมตร)
- สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าแอร์ติดผนัง

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผู้ที่ควรใช้ระบบฟอกอากาศพลาสม่าคลัสเตอร์

  • ผู้มีโอกาสหรือเป็นโรคภูมิแพ้
  • เด็กทารก เพราะภูมิต้านทานโรคต่ำ สังเกตุได้จากการเป็นหวัดบ่อย จามตอนเช้า
  • ผู้สูงอายุ ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้
  • ผู้สุบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้ เพราะสามารถกำจัดสารพิษก่อมะเร็งในควันบุหรี่ได้
  • ผู้ที่เป็นหวัดบ่อยๆ พลาสม่าคลัสเตอร์จะช่วยให้เป็นหวัดน้อยครั้งลงได้
  • คลีนิค โรงพยาบาล ย่านชุมชน ห้องอาหาร คาราโอเกะ เพราะสามารถกำจัดเชื้อโรค และสลายกลิ่นอับชื้น กลิ่นบุหรี่ต่างๆ ได้ดี

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หลักการทำความเย็นของ เครื่องปรับอากาศ

หลักการทำความเย็นของ เครื่องปรับอากาศ

ก่อนที่เราจะเรียนรู้กลไกการทำงานของ เครื่องปรับอากาศ เราควรทราบก่อนว่า ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบการทำการความเย็น (Refrigeration Cycle) มี
          1. คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ของแอร์ แอร์บ้าน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนสารทำ ความเย็นหรือน้ำยา (Refrigerant) ในระบบ โดยทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิ และความดันสูงขึ้น

          2. คอยล์ร้อน (Condenser) ทำหน้าที่ระบายความร้อนของสารทำความเย็น

          3. คอยล์เย็น (Evaporator) ทำหน้าที่ดูดซับความร้อนภายในห้องมาสู่สารทำความเย็น

          4. อุปกรณ์ลดความดัน (Throttling Device) ทำหน้าที่ลดความดันและอุณหภูมิของสาร ทำความเย็น โดยทั่วไปจะใช้เป็น แค็ปพิลลารี่ทิ้วบ์ (Capillary tube) หรือ เอ็กสแปนชั่นวาล์ว (Expansion Valve)

ระบบการทำความเย็นที่เรากำลังกล่าวถึงคือระบบอัดไอ (Vapor-Compression Cycle) ซึ่งมีหลักการทำงานง่ายๆคือ การทำให้สารทำความเย็น (น้ำยา) ไหลวนไปตามระบบ โดยผ่านส่วนประกอบหลักทั้ง 4 อย่างต่อเนื่องเป็น วัฏจักรการทำความเย็น (Refrigeration Cycle) โดยมีกระบวนการดังนี้
          1) เริ่มต้นโดยคอมเพรสเซอร์ทำหน้าที่ดูดและอัดสารทำความเย็นเพื่อเพิ่มความดัน และอุณหภูมิของน้ำยา แล้วส่งต่อเข้าคอยล์ร้อน

          2) น้ำยาจะไหลวนผ่านแผงคอยล์ร้อนโดยมีพัดลมเป่าเพื่อช่วยระบายความร้อน ทำให้น้ำยาจะที่ออกจากคอยล์ร้อนมีอุณหภูมิลดลง (ความดันคงที่) จากนั้นจะถูกส่งต่อให้อุปกรณ์ลดความดัน

          3) น้ำยาที่ไหลผ่านอุปกรณ์ลดความดันจะมีความดันและอุณหภูมิที่ต่ำมาก แล้วไหลเข้าสู่คอยล์เย็น (หรือที่นิยมเรียกกันว่า การฉีดน้ำยา)

          4) จากนั้นน้ำยาจะไหลวนผ่านแผงคอยล์เย็นโดยมีพัดลมเป่าเพื่อช่วยดูดซับความร้อน จากภายในห้อง เพื่อทำให้อุณหภูมิห้องลดลง ซึ่งทำให้น้ำยาที่ออกจากคอยล์เย็นมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น (ความดันคงที่) จากนั้นจะถูกส่งกลับเข้าคอมเพรสเซอร์เพื่อทำการหมุนเวียนน้ำยาต่อไป

หลังจากที่เรารู้การทำงานของวัฏจักรการทำความเย็นแล้วก็พอจะสรุปง่ายๆได้ดังนี้

          1) สารทำความเย็นหรือน้ำยา ทำหน้าที่เป็นตัวกลางดูดเอาความร้อนภายในห้อง (Indoor) ออกมานอกห้อง (Outdoor) จากนั้นน้ำยาจะถูกทำให้เย็นอีกครั้งแล้วส่งกลับเข้าห้องเพื่อดูดซับความร้อน อีก โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดการทำงานของคอมเพรสเซอร์

          2) คอมเพรสเซอร์เป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวในระบบที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนน้ำยาผ่าน ส่วนประกอบหลัก คือคอยล์ร้อน อุปกรณ์ลดความดัน และคอยล์เย็น โดยจะเริ่มทำงานเมื่ออุณหภูมิภายในห้องสูงเกินอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ และจะหยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิภายในห้องต่ำกว่าอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ ดังนั้นคอมเพรสเซอร์จะเริ่ม และหยุดทำงานอยู่ตลอดเวลาเป็นระยะๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิห้องให้สม่ำเสมอตามที่เราต้องการ